วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

มารู้จักยาต้านไว้รัสกันเถอะครับ

มารู้จักยาต้านไว้รัสกันเถอะครับ  http://pha.narak.com/topic.php?No=38542
นับตั้งแต่เริ่มพบโรคเอดส์ เมื่อประมาณ 20 ปี ที่แล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนายาต้านไวรัสมาโดยลำดับ

นับตั้งแต่เริ่มพบยาตัวแรก คือ AZT เมื่อปี ค.ศ. 1987

จนถึงปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์ที่ได้รับการรับรองจาก

องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วถึง 3 กลุ่ม รวม 15 ตัว

รวมถึงการพัฒนาเทคนิคการใช้ยาจากเดิมที่เคยใช้ยาเพียงตัวเดียว

ในการยับยั้งไวรัส HIV ซึ่งสามารถควบคุมเชื้อได้เพียงระยะสั้น ๆ

เนื่องจากเกิดการดื้อยาจากการกลายพันธุ์ (mutation) ในยีนส์ของไวรัส

ต่อมามีการพัฒนาโดยการใช้ยาร่วมกัน 2 ชนิด

พบว่าสามารถยับยั้ง HIV ได้นานขึ้น แต่ก็ได้ผลเพียงระยะหนึ่ง

หลังจากนั้นก็เกิดการดื้อยา

การรักษาจึงไม่ได้ผลเช่นเดียวกับการใช้ยาตัวเดียว

จนในระยะ 5-6 ปีที่ผ่านมา มีการพบยากลุ่ม protease inhibitors (PIs)

มาร่วมในสูตรการรักษาเรียกว่า highly active antiretroviral therapy

(HAART) โดยการใช้ยาหลายตัวร่วมกันแทนการใช้ยาเพียงตัวเดียว

สามารถควบคุมไวรัสได้อย่างสิ้นเชิง

ยาต้านไวรัส ดังกล่าวจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม รวม 15 ตัว

ซึ่งตัวยาทั้ง 3 กลุ่มนี้ จะแสดงฤทธิ์ยับยั้งวงจรชีวิตของไวรัสเอดส์ดังนี้

ยากลุ่มที่ 1 ขัดขวางไม่ให้สารพันธุ์กรรม (RNA)

ของไวรัส เข้าไปรวมตัวกับสารพันธุ์กรรม (DNA)

ในเซลล์ของคนได้ ยากลุ่มนี้มีชื่อย่อว่า NRTIs

(Nucleoside reverse transcriptase inhibitors)

ยากลุ่มที่ 2 ทำให้ไวรัส ไม่สามารถแบ่งตัวได้

ยากลุ่มนี้มีชื่อย่อว่า NNRTIs

(Non-Nucleoside reverse transcriptase inhibitors )

ยากลุ่มที่ 3 ทำให้ไวรัส พิการ ยากลุ่มนี้มีชื่อย่อว่า Pi

(Protease Inhibitors)

ปัจจุบันยาที่ใช้ต้านไวรัส 3 กลุ่ม มีชื่อทางการค้าดังนี้

ยากลุ่มที่ 1 มีชื่อย่อว่า NRTIs

(Nucleoside reverse transcriptase inhibitors)

โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ

ยาเดี่ยว (ใน 1 เม็ดมีตัวยาชนิดเดียว)

และยาผสมรวมกัน (ใน 1 เม็ดมีตัวยา 2 ตัว )

ยาเดี่ยวใน 1 เม็ดมีตัวยาชนิดเดียว

1. AZT (Zidovudine) ชื่ออื่น ริโทรเวียร์ (Retrovir)

2. ddI (Didanosine) ชื่ออื่น ไวเด็กซ์ (Videx-EC ) ไดร์เวียร์ ( Drivir )

3. 3TC (Iamivudine) ชื่ออื่น อีพิเวียร์ (Epivir) รามีเวียร์ ( Lamevir )

4. ddC (Zalcitabine) ชื่ออื่น ไฮวิด (Hivid)

5. d4T (Stavudine) ชื่ออื่น ซีริท (Zerit) สตาเวียร์ (Stavir)

6. อาบาคาเวียร์ (Abacavir) ชื่ออื่น ไซย์เจน (Ziagen)

ยาผสมรวมกัน ใน 1 เม็ด มีตัวยา 2 ตัวขึ้นไป

1. AZT บวก 3TC มีชื่อว่า คอมบิเวียร์ (Combivir) ซีราเวียร์ ( Zeravir )

2. AZT บวก 3TC บวก อาบาคาเวียร์ ( Abacavir ) มีชื่อว่า ไตรซีเวีย (Trizivir)

ยากลุ่ที่ 2

มีชื่อย่อว่า NNRTIs

(Non-Nucleosides reverse transcriptase inhibitors) ได้แก่

1.ไวรามูน (Viramune) ชื่ออื่น เนไวราปิน (Nevirapine)

นีราเวียร์ ( Nelavir ) ชื่อย่อ NVP

2. สโตคริน (Stocrin) ชื่ออื่น อิฟาเวอเร็นซ์ (Efavirenz)

3. เรสคริปเตอร์ (Rescriptor) ชื่ออื่น ดีลาเวอร์ดีน (Delavirdine)

4. ไฮดรี (Hydre) ชื่ออื่น ไฮดรอคซียูเรีย (Hydroxyurea)

5. ดรอคเซีย (Droxia) ชื่ออื่น ไฮดรอคซียูเรีย (Hydroxyurea)

หมายเหตุ ยาข้อ 3, 4, 5 ในประเทศไทยยังไม่มีจำหน่าย

ยาผสมรวมกัน ใน 1 เม็ด มีตัวยา 3 ตัว เป็นยา กลุ่ม 1 + กลุ่ม 2 คือ

1.ยาจีพีโอเวียร์ (GPO vir-S30 และ GPO vir-S40 )

คือยา d4T + 3TC + NVP

2. ยาจีพีโอเวียร์ Z (GPOz 250) คือยา

AZT + 3TC + NVP

หมายเหตุ เป็นยาขององค์การเภสัชเป็นผู้ผลิต

ยากลุ่มที่ 3

มีชื่อย่อว่า Pi (Protease Inhibitors)

โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

ยาเดี่ยว (ใน 1 เม็ดมีตัวยาชนิดเดียว )

และยาผสมรวมกัน ( ใน 1 เม็ดมีตัวยา 2-3 ตัว )

ยาเดี่ยวใน 1 เม็ดมีตัวยาชนิดเดียว

1.ริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ชื่ออื่น นอร์เวียร์ (Norvir)

2.ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ชื่ออื่น ฟอร์ทูเวส (Fortovase)

3.ครีซีแวน (Crixivan) ชื่ออื่น อินดินาเวียร์ (Indinavir)

4.ไวราเซ็ปท์ (Viracept) ชื่ออื่น เนลพินาเวียร์ (Nelfianvir)

5.แอมปรินาเวียร์ (Amprenavir) ชื่ออื่น เอเจนนิเวส (Agenevase)

ยาผสมรวมกัน ใน 1 เม็ด มีตัวยา 2 ตัว

1.กาเล็ทตร้า (Kaletra) คือโลปินาเวียร์ (Lopinavir) บวก

ริโทนาเวียร์ (Ritonavir)

ประโยชน์จากการใช้ยา รักษาผู้ติดเชื้อ

โดยใช้ยาต้านไวรัสหลายตัวร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ

( highly active antiretroviral therapy )

ในปัจจุบันจะให้ประโยชน์ดังนี้

1.สามารถลดปริมาณไวรัสให้อยู่ในระดับที่น้อย จนตรวจวัดไม่ได้

( undetectable level )

2. ทำให้ระดับภูมิคุ้มกัน CD4 เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณไวรัสลดน้อยลง

3. ทำให้การติดโรคแทรกซ้อน และอัตราการตายลดลงอย่างชัดเจน

ผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น กลับขึ้นมาเป็นผู้ติดเชื้อ

โทษและผลข้างเคียงของยา

ยานั้นมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์

แม้ยาต้านไวรัสจะช่วยให้ผู้ที่ติดเชื้อ HIV สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

โดยไม่ปรากฏอาการของเอดส์ แต่ปัญหาของยาต้านไวรัสเท่าที่พบ

ผู้ติดเชื้อบางส่วน มีผลในเรื่องของสารเคมีตกค้างและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น

จากการใช้ยาเป็นเวลานาน ด้วยเหตุผลนี้การที่ผู้ป่วยที่มีความจำเป็น

ต้องใช้ยาต้านไวรัสจึงต้องได้รับยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับรายละเอียดโทษและผลค้างเคียงของยาแต่ละชนิดมีดังต่อไปนี้

ความเป็นพิษของยากลุ่มที่ 1 NRTls

1. AZT คลื่นไส้, ปวดศรีษะ,โลหิตจาง, กล้ามเนื้ออ่อนแรงลีบเล็กลง

2. ddI ตับอ่อนอักเสบ,อุจจาระร่วง, คลื่นไส้, ปลายประสาทอักเสบ

3. ddC ปลายประสาทอักเสบ, คลื่นไส้

4. d4T ปลายประสาทอักเสบ, คลื่นไส้

5. 3TC ตับอ่อนอักเสบ

6. อาบาคาเวียร์ (Abacavir) มีไข้,ผื่น,

มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ,ทางเดินอาหาร

ข้อควรระวังสำหรับการใช้ยา อาบาคาเวียร์ (Abacavir)

หากมีการเริ่มใช้ยาตัวนี้แล้วมีอาการแพ้จากผลข้างเคียงของยาคือ

มีไข้ ผื่น มีอาการทางระบบการหายใจ และอาการของระบบทางเดินอาหาร

ภายใน 42 วันแรกหลังเริ่มใช้ยานี้ และเมื่อหยุดการให้ยาตัวนี้แล้ว

แม้คนไข้มักจะมีอาการดีขึ้น ก็ห้ามกลับมาใช้ยาตัวนี้ใหม่อีกครั้ง

เพราะพบว่ามีการเสียชีวิตอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ

ดังนั้นแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาอื่นแทน

ความเป็นพิษของยากลุ่มที่ 2 NNRTls

1.ไวรามูน (Viramune) เกิดผดผื่นเม็ด,ตับอักเสบ

2. สโตคริน (Stocrin) มีอาการทางระบบประสาทส่วนกลาง

เช่น มึนงง, ฝันประหลาด

ความเป็นพิษของยากลุ่มที่ 3

1. ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ชื่ออื่น ฟอร์ทูเวส (Fortovase)

ปวดศรีษะ,อุจจาระร่วง

2. ริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ปลายประสาทอักเสบ,คลื่นไส้,อาเจียน,ตับอักเสบ

3. ครีซีแวน (Crixivan) เม็ดเลือดแดงที่ตายแล้วในกระแสเลือดสูงขึ้น

จนเป็นอันตรายต่อเซลล์สมอง,ปวดหัว,อ่อนเพลีย

4. ไวราเซ็ปท์ (Viracept) ถ่ายเหลว,ท้องเสีย,อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย

5. กาเล็ทตร้า (Kaletra) ท้องเสีย,ทำให้ไขมันอุตตันในกระแสเลือด,

ปลายประสาทอักเสบ,คลื่นไส้,อาเจียน ,ตับอักเสบ

ข้อแนะนำการรักษา

การรักษาผู้ติดเชื้อ โดยการใช้ยาเพื่อควบคุมปริมาณของไวรัสเอดส์

ไม่ให้สูงเกินไปแต่เพียงด้านเดียว ดูจะไม่สมบูรณ์นัก

ความจริงแล้วควรใช้ยาบำรุงรักษาระบบภูมิคุ้มกันควบคู่กันไปด้วย

น่าจะครบถ้วนกว่า แนวทางการรักษาแนะนำว่า

ควรรักษาทั้ง 2 ด้าน ควบคู่กันไป

เพราะเท่าที่ติดตามเฝ้าดูอาการของคนไข้ ที่ผ่านมา

พบว่าคนไข้ที่ใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงด้านเดียว

คนกลุ่มนี้มักมีสุขภาพที่มีปัญหาบ่อย

บางรายมีอาการแพ้ยาเป็นระยะ ๆ ตับมีปัญหา

และหากมีการใช้ยาในระยะยาว อาจจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเสื่อม

เช่น หลังจากใช้ยาไปเป็นเวลานาน

แมัผลการรักษาจะพบว่าปริมาณไวรัสของคนไข้ลดลงต่ำกว่า 50 copy/มล

ซึ่งถือว่าปลอดภัย แต่ตรงกันข้ามระดับภูมิคุ้มกันของคนไข้ CD4

แทนที่จะสูงเพิ่มขึ้นกลับต่ำลงมากเช่นกัน

ซึ่งภาวะนี้ไม่ถือว่าเชื้อดื้อยาเนื้องจากไวรัสอยู่ในเกนณ์ที่ต่ำ

แต่เกิดจากปริมาณของภูมิคุ้มกัน CD4 ไม่ถูกสร้างขึ้นมา

ทำให้ภูมิต่ำติดโรคง่าย โดยเฉพาะในรายที่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง

มักเกิดภาวะโรคแทรก ตรงจุดนี้คือปัญหาของการใช้ยาต้านไวรัส

แต่เพียงด้านเดียว ตรงกันข้ามสำหรับในกลุ่มคนที่ใช้ยาต้านไวรัส

ร่วมกันกับการใช้ยาบำรุงรักษาระบบภูมิคุ้มกันควบคู่กันไป

เช่นการใช้ยาสมุนไพรแบบสกัดดีๆ

ที่มีข้อมูลทางวิทยาศสตร์ว่ามีฤทธิ์ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

และเสริมด้วยวิตามิน c วิตามินบี 6 หรือจะใช้อาหารเสริมเพิ่มควบคู่กันไปก็ดี

พบว่าสิงเหล่านี้สามารถช่วยให้คนไข้กลุ่มนี้ให้มีสุขภาพที่ดีมากกว่า

กลุ่มคนไข้ที่ใช้แต่ยาต้านไวรัสเพียงอย่างเดียว

กล่าวคือในคนที่ใช้ยาต้านไวรัสร่วมกันกับยาบำรุงรักษาระบบภูมิคุ้มกัน

ผลการรักษาไม่ว่าจะเป็นในระยะสั้นหรือระยะยาว

การเกิดภาวะระบบภูมิคุ้มกันเสื่อม ตับมีปัญหา ตุ่มคันตามตัว พบว่ามีน้อยกว่า

โดยเฉพาะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ก็จะน้อยกว่าเช่นกัน

เมื่อได้มีการเปรียบเทียบแล้ว

พบสุขภาพร่างกายของคนกลุ่มนี้จะดีและแข็งแรงกว่า

กลุ่มคนไข้ที่ได้รับแต่ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียว

เชื่อว่าการรักษาโดยการใช้ยาต้านไวรัสร่วมกันกับการใช้ยารักษา

ระบบภูมิคุ้มกันควบคู่กันไปน่าจะดีกว่าการใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียว

การใช้ยาต้านไวรัส

ก่อนอื่นต้องเรียนให้ทราบถึงปัญหาของการใช้ยาต้านไวรัสกันอีกครั้งว่า

เมื่อใช้ยาต้านไวรัสไปแล้วมักจะพบปัญหาจากผลข้างเคียงของยา

ปัญหาการดื้อยา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

รวมถึงปัญหาคุณภาพชีวิตที่ต้องกินยาให้ถูกต้องสม่ำเสมอ

เป็นระยะเวลายาวนานตลอดชีวิต

ดังนั้นการให้ยาต้านไวรัสในคนที่ยังมีระดับภูมิคุ้มกัน CD4 สูงอยู่

จะถูกชะลอการให้ยาออกไปก่อน แต่ก็ต้องมีการติดตามผลทางสุขภาพ

และผลของระดับภูมิคุ้มกัน CD4 ของผู้ติดเชื้อทุกระยะ 3 เดือน

เพื่อหาจังหวะที่ถูกต้องและเหมาะสมในการเริ่มใช้ยา

สำหรับข้อพิจารณาการให้ยาต้านไวรัสจะพิจราณาโดยหลัก 3 ประการดีงนี้

1.ประวัติสุขภาพในอดีตและปัจจุบัน

2.ผลการตรวจเลือดวัดระดับภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า CD4

3.ผลการตรวจเลือดวัดระดับปริมาณไวรัสในร่างกายที่เรียกว่า viral load

จากหลักในการพิจารณาดังกล่าวได้แบ่งผู้ติดเชื้อออกเป็น 2 กลุ่มคือ

กลุ่มที่ 1. ผู้ติดเชื้อที่ยังไม่มีอาการของโรคแทรกซ้อน

กลุ่มที่ 2. ผู้ติดเชื้อที่มีอาการของโรคแทรกซ้อนแล้ว

กลุ่มที่ 1 ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ยังไม่มีอาการ แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ

1.1 ผู้ติดเชื้อที่มี CD4 น้อยกว่า 200 เซล/ลบ มม. ควรเริ่มใช้ยาต้านไวรัส

1.2 ผู้ติดเชื้อที่มี CD4 มากกว่า 350 เซล/ลบ มม.

อาจจะชะลอ การใช้ยาในผู้ป่วยที่มี CD4

ระดับนี้ออกไปก่อนและติดตามตรวจนับ CD4 ทุก 3 เดือน

กลุ่มที่ 2 ผู้ติดเชื้อ ที่มีอาการของโรคแทรกซ้อนแล้ว

กรณีที่ป่วยเป็นวัณโรค,เชื้อราในเยื่อหุ้มสมอง,ปอดอักเสบ,อุจจาระร่วงเรื้อรัง

ควรเริ่มใช้ยาต้านไวรัส แต่การเริ่มใช้ยาต้านควรเริ่มในจังหวะที่เหมาะสม

โดยต้องพิจารณาด้วยว่ามียาต้านไวรัสตัวใดบ้าง

ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านกับยารักษาโรคติดเชื้อแทรกซ้อนที่กำลังใช้อยู่

เช่น ถ้าป่วยเป็นวัณโรคและใช้ยา rifampicin รักษาอยู่

จะห้ามใช้ยาต้านไวรัส กลุ่มที่ 3 PIs

หรือผู้ป่วยที่มีอาการอจุจาระร่วงเรื้อรังรุนแรงอยู่

อาจมีปัญหาการดูดซึมของยาเข้าสู่ร่างกาย

จึงยังไม่ควรเริ่มใช้ยาต้านไวรัส รวมถึงควรดูปัญหาผลข้างเคียง

ของยาต้านไวรัสที่จะใช้ และสุขภาพของผู้ป่วยมีความพร้อม

ที่ทนต่อผลข้างเคียงของยา รวมถึงการให้ความร่วมมือในการกินยา

อย่างถูกต้องสม่ำเสมอเมื่อเริ่มใช้ยา

สูตรการให้ยาแบบจับคู่ยา

การให้ยาต้านไวรัสในผู้ติดเชื้อ โดยการจับคู่ยาอาจแบ่งออกเป็น 2 สูตรคือ

สูตรยา ARV ( antiretroviral drug ) เป็นการให้ยา 2 -3 ตัวร่วมกัน

แต่จะใช้เฉพาะยากลุ่มที่ 1 NRTIs

สูตรยา HAART เป็นการนำยากลุ่มที่ 2 NNRTIs

หรือนำยา กลุ่มที่ 3 PIs เข้ามาร่วมจับคู่กับสูตรยา กลุ่มที่ 1 NRTIs

คู่ที่ 1 AZT + ddI

คู่ที่ 2 AZT + 3TC

คู่ที่ 3 AZT + ddC

คู่ที่ 4 d4T + ddI

คู่ที่ 5 d4T + 3TC

ยาที่ห้ามใช้ร่วมกัน

คู่ที่ 1 AZT + d4T

คู่ที่ 2 ddI + ddC

คู่ที่ 3 d4T + ddC

2.การให้ยาแบบสูตร HAART

เป็นการนำยากลุ่มที่ 2 NNRTIs เข้ามาร่วมกับสูตรยา กลุ่มที่ 1 NRTIs

หรือนำยากลุ่มที่ 3 PIs เข้ามาร่วมกับสูตรยา กลุ่มที่ 1 NRTIs เช่นกัน

AZT + ddI + สโตคริน (Stocrin)

AZT + 3TC + ครีซีแวน (Crixivan) + ริโทนาเวียร์ (Ritonavir)

d4T + 3TC + ไวราเซ็ปท์ (Viracept)

d4T + ddI + ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) + ริโทนาเวียร์ (Ritonavir)

3TC + ddI + กาเล็ทตร้า (Kaletra)

AZT + ddC + ไวรามูน (Viramune)

หรืออาจจะได้สูตร อื่น ต่างจากนี้

หมายเหตุ

1.AZT + 3TC + อาบาคาเวียร์ (Abacavir) เป็นยาสูตรพิเศษชื่อ Tizivir

เป็นการจับคู่ 3 ตัว เฉพาะยากลุ่มที่ 1 NRTIs

แต่ข้อควรระวังสำหรับการใช้ยา อาบาคาเวียร์ (Abacavir)

หากมีการเริ่มใช้ยาตัวนี้แล้วมีอาการแพ้จากผลข้างเคียงของยาคือ

การเกิด hypersensitivity ได้

อาการนี้คือกลุ่มอาการ flu-like จะมีไข้ ผื่น

มีอาการทางระบบการหายใจส่วนบน และอาการของระบบทางเดินอาหาร

มักเกิดภายใน 42 วันแรก หลังเริ่มใช้ยานี้

และในคนที่มีอาการดังกล่าวเมื่อหยุดการให้ยาตัวนี้แล้ว

คนไข้มักจะมีอาการดีขึ้น และที่สำคัญปัญหาที่พบ

ถ้ามีการกลับมาใช้ยาตัวนี้ใหม่อีกครั้ง

พบว่ามีการเสียชีวิตอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ

ดังนั้นห้ามกลับมาใช้ยาตัวนี้อีกครั้ง แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ยาอื่นแทน

2.ยากลุ่มที่ 3 ซาควินาเวียร์ (Saquinavir) ควรใช้ร่วมกับยาริโทนาเวียร์

(Ritonavir) จะได้ผลดีกว่าการใช้แต่ยาซาควินาเวียร์

(Saquinavir) เพียงตัวเดียว

กรณีผลการรักษาล้มเหลวให้พิจารณาเปลี่ยนยาใหม่โดยดูจากจากสิ่งต่อไปนี้

ถ้าจำนวน ไวรัสในเลือดเพิ่มขึ้นเกิน 10,000 copy/มล.

ข้อควรระวังในการใช้ยา

การใช้ยาไม่ถูกต้อง เช่น การใช้ยาที่ไม่สามารถลดปริมาณไวรัสได้ดีพอ

เป็นสาเหตุทำให้ไวรัสดื้อยา (drug resistant variant)

และไวรัสที่ดื้อยาเหล่านี้จะเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้การรักษา

ด้วยยาต้านไวรัสในเวลาต่อมาล้มเหลว และจะล้มเหลวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในการรักษาครั้งต่อๆ มา ด้วยเหตุผลนี้แพทย์ผู้ดูแลรักษาทุกคนควรเข้าใจ

และตระหนักถึงปัญหานี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

หรือเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เพราะปัญหานี้มีความสำคัญมากกว่าการรักษา

เนื่องจากเมื่อไวรัสดื้อยาขึ้นมาแล้ว

การรักษาต่อมาจะประสบความสำเร็จได้ยากมาก และที่น่าเป็นห่วงก็คือ

การเกิด T-cell tropie syneytium-indueing variant HIV

ซึ่งเป็นสายพันธุ์ดื้อยาที่มีความรุนแรง และจะทำให้ระดับภูมิคุ้มกัน CD4

ลดลงอย่างรวดเร็ว การดำเนินของโรคเร็วขึ้น

และเสียชีวิตเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น insufficient antiviral poteney

ความจริงของยารักษาโรคเอดส์

ปัจจุบันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับการรักษาผู้ติดเชื้อ

โดยการใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียว เพราะยาต้านไวรัสมี

ทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัวของมัน

1. ข้อดี โดยการใช้สูตรยา HAART เป็นการใช้ยา 3 ตัวขึ้นไป

คนไข้ที่ได้รับยาสูตรนี้ภายในระยะเวลา 4-6 เดือนเชื้อไวรัสจะลดลงจน

ไม่สามารถตรวจพบได้ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกัน CD4 เกิดการเพิ่มขึ้น

2. ข้อเสีย คือ อาจจะก็ให้เกิดภาวะผิดปกติ ร่วมทั้งกลุ่มอาการ ( Syndrom )

ที่สืบเนื่องจากการใช้ยาต้านไวรัส เช่น ตับอักเสบ ,ไขมันในเส้นเลือดสูง ,

เป็นเบาหวาน,โรคไต ปลายประสาทอักเสบ,

มีอาการปวดเมื่อยตามข้อตามตัว, มีผื่นขึ้นตามตัว

เกิดภาวะไขมันเคลื่อนย้าย , แก้มตอบ , แขนขาลีบ , พุงโต

ด้วยเหตุผลนี้แนวคิดในการรักษา

โดยการใช้ยาต้านไวรัสแต่เพียงอย่างเดียวได้เปลี่ยนไป

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้วิธีรักษาที่สมบูรณ์แบบ 2 ทาง

ที่เรียกว่า Complementary treatment

หมายถึงการรักษา ระหว่างแพทย์แผนปัจจุบัน

ควบคู่ไปกับแพทย์ทางเลือก Alternative medicine

โดยมีหลักการดังต่อไปนี้

1. จะใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดจำนวนเชื้อไวรัส

จนไม่สามารถ ตรวจพบได้ ( ปริมาณไวรัสต่ำกว่า 50 หรือ 20 ตัว ต่อ ลบ.มม.)

2. จะใช้วิธีป้องกันข้อเสียของยาต้านไวรัส โดยการซ่อมสร้างร่างกาย

โดยใช้วิธีที่เรียกกันว่าแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)

เช่นการใช้ยาสมุนไพรแบบสกัดที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เชื่อได้ว่า

มีฤทธิ์ในการปกป้อง ซ่อมสร้างร่างกาย เช่น ปกป้องตับ

โดยการใช้ สมุนไพรเห็ดหลินจือ,ชะเอมเทศ, ลูกใต้ใบ, ฟ้าทะลายโจร,

มะระขี้นกก็ยังมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย

การใช้วิตามิน C วิตามิน B6 วิตามินรวมเกลื่อแร่

การใช้น้ำมันปลาในกลุ่มโอเก้า 3 ป้องกันไขมันในเส้นเลือดสูง

การออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

การใช้ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารบางชนิดช่วยด้วย

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น

สามารถช่วยปกป้องผลข้างเคียง ที่เกิดจากยาต้านไวรัส

และต้องคอยเฝ้าระวังเจาะเลือดตรวจตับ ตรวจไต

ตรวจไขมันในเส้นเลือด ตรวจน้ำตาลใน เลือดทุก 3 เดือน

หรือเจาะเลือดตรวจทันที ที่สงสัยว่าอาจจะมีผลข้างเคียง

ที่สืบเนื่องมาจากการใช้ยาต้านไวรัส

จากแนวคิดการรักษาโดย การใช้ยาต้านไวรัส ควบคู่กันไป

กับการซ่อมสร้างร่างกาย Complementary treatment ดังกล่าว

ซึ่งวิธีการนี้มันก็เหมือนกับการรักษาคนไข้ที่เป็นวัณโรค

เช่นถ้าแพทย์ที่รักษาให้แต่ยารักษาวัณโรคอย่างเดียว

โดยที่ไม่ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายของคนไข้ควบคู่ร่วมไปด้วย

เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า คนไข้มักจะโซมผอมแห้ง มาก

เพราะฉะนั้นการรักษาคนไข้ HIV จึงควรรักษา 2 ทางควบคู่กันไป

จะได้ผลที่ดีกว่า การให้แต่ยาต้านไวรัสเพียงด้านเดียว

แต่สมุนไพรและวิตามินบางอย่าง ไม่สามรถ ใช้รวมกันได้

เช่น สโตคริน (Stocrin) ไม่สามารถ รับประทานกับ กระเทียมสกัดได้

ครีซีแวน (Crixivan) ไม่สามารถ รับประทาน กับวิตามิน C ได้

ยังมีข้อที่ต้องควรระวังอีกมากมาย

ไม่ว่าเรื่องสมุนไพร บางตัวที่ไม่สามารถ รับประทานติดต่อกันได้นาน

เช่น ฟ้าทะลายโจร ถ้ารับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

จะทำให้ความดันในเลือดต่ำได้ เป็นต้น

หวังว่าเพื่อนคงได้อะไรจากกระทู้นี้บ้างนะครับ

Abacavir ( ABC,GW 1592U89 )

( ziagen ของ Glaxo Welcome )

ยา Abacavir เป็น guanosine analogue

ที่ได้รับการรับรองจาก FDA ในเดือนกันยายนพ.ศ. 2541

( คศ. 1998 ) ให้ใช้ร่วมกับยาต้านเรโทรไวรัสอื่น

สำหรับรักษาการติดเชื้อ HIV ในผู้ใหญ่และเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือน

เข้าไป ยาออกฤทธิ์ได้โดยถูกเปลี่ยนเป็น triphoshate ในเซลล์

ด้วยเอนไซม์ที่ไม่ได้ phosphprylate ยา nenuckeoside RTS

ตัวอื่น ในหลอดทดลองยาเสริมฤทธิ์ กับ zidovudine lamivudine ,

amprenavir mevirapine และเพิ่มฤทธิ์ ยา didanosine ,

lamivudine stavudine , zalcitabine

จึงได้มีการผลิต Trizivir ซึ่งเป็นยาผสมของ

abacavir + zidovudine + lamivudine

ยาเตรียม abacavir มีรูป ยาน้ำสำหับเด็ก 20 มก/ มล.

และยาเม็ด 300 มก. ส่วนยา Trizivir ประกอบด้วยยา

abacavir 300 มก. Zidovudine 300 มก. Lamivudine 150 มก .

ขนาดยา

ทารกแรกเกิด ไม่แนะนำให้ใช้กับทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือน

แต่ขะนี้มีการศึกษาขนาด 8 มก. / กก. วันละ 2 ครั้ง

ในทารกอายุ 1-3 เดือน

เด็ก ใช้ในขนาดยา 8 มก./กก. วันละ 2 ครั้ง

วัยรุ่น ใช้ในขนาดมื้อละ 8 มก. /กกสูงสุดมื้อละ300 มก. วันละ 2 ครั้ง

ผู้ใหญ่ ใช้ในขนาดมื้อละ 300 มก. วันละ 2 ครั้ง

ถ้าใช้ Trizivir มื้อละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง

เภสัชจลนศาสตร์

ยาถูกดูดซึมดีจากทางเดินอาหารมีค่า bioavailability - 83 %

ค่าครึ่งชีวิตในซีรั่ม 1.5 ชั่วโมงค่าครึ่งชีวิตภายในเซลล์ - 3.3 ชั่วโมง

ผ่านเข้สู่น้ำไขสันหลังได้ ระดับยาในน้ำไขสันหลังประมาณ 18-25 %

ของระดับยาในพลาสมา ยาถูกกำจัดส่วนใหญ่ ( 81 % )

โดยถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ alcohol dehydrogenase

และ glucuronyl transferase

ไม่ใช้เอนไซม์ระบบ cytochrome P 450

และยาไม่ยับยั้ง CYP3A4 CYP2D6, CYP2C

ยาถูกกำจัดทางปัสสาวะในรูป metaboites 81 %

และรูปที่ไม่เปลี่ยนแปลง1 % และส่วนน้อย16 %

ถูกจำกัดทางอุจจาระ ผู้ป้วยโรคไตไม่ต้องเปลี่ยนขนาดยา

พิษสำคัญของยา

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

ท้องเสีย มีไข้ อ่อนเพลีย ออกผื่น

ผลข้างเคียงที่พบไม่บ่อยแต่รุนแรง ได้แก่

เกิดภูมิไวเกิดหรือแพ้ยา 5 % พบทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก

และอาจรุนแรงถึงเสียชีวิต เกิดใน6 สัปดาห์หลังใช้ยา

อาการประกอด้วยไข้สูง ( 30 – 40 องศาเซลเซียส ) อ่อนเพลีย

ไม่แรง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หายใจตื่น หอบ ไอ

ออกผื่น ตรวจร่างกายพบต่อมน้ำเหลืองโต

แผลที่เยื่อ mucus ผื่น maculopapular หรือผื่นลมพิษ

คัน ที่ผิวหนัง ( แต่บางคนอาจไม่มีผื่น )

ตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเอนไซม์ตับ creatine phosphoinase

และ creatinine สูงขึ้น เม็ดน้ำเหลืองต่ำ

ถ้าสงสัยว่าผู้ป่วยแพ้ยาควรหยุดยาทันที

และห้ามทดลองใช้ยาใหม่ เนื่องจากอาจถึงกับเสียชีวิต

และเช่นเดียวกับ ยา mucleoside RTS อื่น

มีรายงาน latic acidosis ตับโตและ steatosis syndrome

เกิดขึ้นกับ abacavir เช่นเดียวกัน แม้จะน้อยก็ตาม

แต่ก็อาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผลข้างเคียงที่พบไม่บ่อยอื่นๆ ได้แก่ ตับอ่อนอักเสบ ท้องเสีย

เอนไซม์ตับสูงขึ้น ระดับกลูโคส และ หรือ ไตรกลีเซอรรด์สูงขึ้น

ปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา

ยาไม่ถูก metabolise และไม่ยับยั้งเอ็นไซม์ cytochrome

จึงไม่ควรมีผลต่อยา PIS และ non - mucleoside RTS

หรือยาอื่นที่ถูก metabolized โดยเอนไซม์นี้

ไม่มีปฏิกิริยาต่อกันอย่างมีนัยสำคัญต่อยา zidovudine

และ lamivudine

อัลกอออล์ลดการกำจัด abacavir จึงทำให้ระดับยาเพิ่มขึ้น

ประมาณ 41 %

คำแนะนำพิเศษ

สามารถรับประทานร่วมกับอาหารได้

ผู้ป่วยและบิดามารดาต้องระมัดระวังการเกิดการแพ้หรือ

ภาวะภูมิไวเกินจากยา

Non- mucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors

ยากลุ่มนี้เป็นยาสังเคราะห์ยับยั้งเอนไซม์ DNA polymerase

แบบ noncmpetive binding ทำให้เกิดการแตกของ catalytic site

ของเอนไซม์ reverse transcriptase เกิดการเปลี่ยนแปลง

ของเอนไซม์ และเกิดการยับยั้งเอนไซม์ขึ้น

ยาในกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ ผลข้างเคียงหรือพิษการสันดาป

และการดื้อยาคล้ายกัน และไม่ต้องถูก phosphorylation

ภายในเซลล์ก่อนจึงออกฤทธิ์ได้ ยาถูก metabolized

โดย CYP450 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง CYP 3A4 ออกฤทธิ์แรง

ต่อเชื้อไวรัส HIV -1 โดยลดระดับไวรัสได้เร็วแต่เชื้อก็ดื้อยาเร็ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ยาตัวเดียวตามลำพังหรือใช้ร่วมกับยาอื่น

ที่มีผลยับยั้งไวรัสไม่พอเพียง

ยาเสริมฤทธิ์กับยา nucleoside RTIs และ PIS ต่อเชื้อ HIV – 1

แต่มีข้อจำกัดที่เมื่อเกิดเชื้อดื้อยาขึ้นต่อยา nonnucleoside RTIs

ตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มมักดื้อข้ามไปยังยาตัวอื่นในกลุ่มด้วย

ยาอาจยับยั้งหรือชักนำเอนไซม์ที่ตับทำให้มีผลต่อยาเองและ / หรือ

ยาตัวอื่นที่ถูกสันดาป โดยเอนไซม์นี้ ถ้ามีผลสัยดาปตัวเอง

อาจต้องเพิ่มขนาดยาต่อวันขึ้นเท่าตัวในสัปดาห์ที่สอง

Nevirapine ( NVP )

( VIRAMUNE ของ Roxane Lab Inc และจัดจำหน่ายโดย

Boehringer Ingelheim)

ยา nevirapine เป็นอนุพันธื dipyridodiazepinone

ได้รับการรับรองโดย FDA ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2539

( ค.ศ. 1996 ) ให้ใช้รักษาการติดเชื้อ HIV ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ

มากกว่า 2 เดือน ร่วมกับยาต้านเรโทรไวรัสอื่น

ยาไม่ยับยั้ง cellular DNAa polymerases ของคน

ยาเตรียมมีรูป ยาน้ำแขวนตะกอน 50 มก/ 5 มล และ

ยาเม็ด 200 มก.

ขนาดยา

ทารกแรกคลอด ถึงอายุ 2 เดือน ใช้ในขนาด5 มก. /กก.

หรือ 120 มก / ตร. เมตร วันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน

ตามด้วยขนาด 120 มก / ตร. ทุก 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 14 วัน

หลังจากนั้นใช้ขนาด 200 มก. / ตร. เมตร ทุก 12 ชั่วโมง

( pediatrics AIDS Climical Trial Gropup protocol 365 )

เด็ก ใช้ในขนาด 120 -200 มก/ ตร.เมตร ทุก 12 ชั่วโมง

( ควรเริ่มด้วยขนาด 120 มก./ ตร. เมตร สูงสุด 200 มก

วันละ 1 ครั้ง เป้นเวลา 14 วันก่อน

ถ้าไมมีผื่นหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อื่น

เพิ่มขนาดขึ้นเป็นขนาดเต็มหรือ 120 – 200 มก. / ตร. เมตร

สูงสุด 200 มก ทุก 12 ชั่วโมง ) หรือถ้าคิดตามน้ำหนัก

เด็กอายุ 8 ปี ใช้ขนาด 7 มก / กก. ทุก 12 ชั่วโมง

เด็กอายุ 8 ปี ใช้ขนาด 8 มก. /กก. ทุก 12 ชั่วโมง

วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ใช้ในขนาด 200 มก. วันละ 1 ครั้ง ครั้ง 14 วัน

แล้วค่อยเพิ่มเป็น มื้อละ 200 มก. ทุก 12 ชั่วโมง หรือวันละ 2 ครั้ง

ถ้าไม่ผื่นหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ

เภสัชจลนศาสตร์

ยามีคุณสมบัติละลายได้ดีมากในไขมัน ถุกดูดพซึมได้ดี

จากทางเดินอาหาร มีค่า bioavailability 93 % อาหาร

การอดอาหาร ยา didanosine หรือ antacids ไม่เปลี่ยนแปลง

การดุดซึมของยา มีค่าครึ่งชีวิต 25- 30 ชั่วโมง

ยาผ่านเข้าสู่น้ำไขสันหลังได้

ระดับยาในน้ำไขสันหลังในพลาสมา = 0.45

ยาชักนำและถูกสันดาปโดยเอนไซม์ระบบ cytochrome P450

เป็น hydroxylated metabolites แล้วถูกกำจัดออก

ทางปัสสาวะ 90 % หลังจากใช้ยา 2 สัปดาห์

อาจต้องเพิ่มขนาดยา เนื่องจากยำถูกจำกัดเร็วขึ้นและค่าครึ่งชีวิต

ของยาสั้นลง และถ้าใช้ร่วมกับยาอื่นที่ชักนำหรือยับยั้งเอนไซม์

cytochrome P450 อาจทำให้ระดับยา nevirapine เปลี่ยนแปลง

เด็กมีการกำจัดยา เร็วกว่ผู้ใหญ่ และเด็กอายุ <> 9 ปี

พิษสำคัญของยา

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือ ออกผื่น 17 % ที่ลำตัว ใบหน้น

แขนขา ปกติเป็นผื่นแดงคนหรือไม่คันก็ได้ หรือผื่น

บางคนต้องหยุดยา 7 % เทียบกับ delavirdine 4.3 %

efavirenz 1.7 % ที่ต้องหยุดยา บางคนผื่นอาจเป็นรุนแรงเช่น

stevens - Johnson syndrome ซึ่งต้องหยุดยา

และรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล เพราะอาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปวดศรีษะ คลื่นไส้ มีไข้ หน้าที่ตับผิดปกติ

ผลข้างเคียงที่พบน้อยลง ได้แก่ granulocytopenia

เอนไซม์ตับสูงขึ้น ตับอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงจนตับเสียหาย

และเสียชีวิตได้ ผลข้างเคียงอื่นๆได้แก่

ภาวะภูมิไวเกิน ออกผื่นรุนแรง ตุ่มพอง ปากเป็นแผล

หน้าบวม เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเน้อ ปวดข้อ อ่อนเพลีย

ตับผิดปกติ ผู้ป่วยที่ใช้ยาควรรีบรายงานแพทย์

เมื่อมีอาการผิดปกติใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 8 สัปดาห์ แรก

และควรติดตามวัดระดับเอนไซม์ ALT , AST ใน 8 สัปดาห์ แรก

ถ้า AST ALT สูงมากกว่า 2 เท่า ของค่าสูงสุดที่ปกติแต่ไม่มีอาการ

ของภาวะภูมิไวเกินได้แก่ ไข้ออกผื่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ

อ่อนเพลีย มีตุ่มพอง eosinophilia ,

เยื่อบุตาอักเสบ แผลที่ mucous membrane และ

ที่ ไตวาย อาจไม่ต้องหยุดยาแต่ติดตามผู้ป่วยใกล้ชิด

แต่ถ้ามีอาการของภาวะภูมิไวเกินดังกล่าวมาแล้วควรหยุดยาทันที

และห้ามใช้ยาอีก ถ้า AST , ALT สูงเกิน 5 เท่า

ของค่าสูงสุดที่ปกติ และไม่มีอาการของภาวะภูมิไวเกิด

ควรหยุดยาเช่นเดียวกัน เมื่อค่า AST ALT สูงเกิน 5 เท่า

ของค่าค่าสูงสุดที่ปกติ และไม่มีอาการของภาวะภูมิไวเกินควรหยุดยา

เช่นเดียวกัน เมื่อ AST ALT และค่าหน้าที่การทำงานของตับอื่นๆ

มาลงปกติ อาจเริ่มให้ยาใหม่ขนาดวันละ 200 มก.

เป็นเวลา 14 วัน ถ้าค่าหน้าที่ยังปกติอาจเพิ่มขนาดยา

เป็นวันละ 400 มก.

ปฏิกิริยาต่อระหว่างยา

ยาชักนำเอนไซม์ cytochrome P450 3A

ทำให้ metabolise ตัวเองมากขึ้น ซึ่งใน 2-4 สัปดาห์

มีการกำจัดยา เพิ่มขึ้น 1.5- 2 เท่า

และอาจเกิดปฏิกิริยาต่อยาอื่นที่ใช้ร่วมกัน

ดังนั้นก่อนเริ่มให้ยาต้องนำยาทั้งหลายมา

พิจารณาถึงปฏิกิริยาต่อกันก่อน

ควรต้องติดตามวัดระดับยาย่างอย่างระมัดระวัง

ถ้าใช้ร่วมกับยาที่มีปฏิกิริยาต่อกัน เช่น rifampin rifabutin ,

mizolam triazolam , phenytoin , diigoxin theophyllin

ยาคุมกำเนิดรับประทาน ยาด้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน

ถ้า ใช้ร่วมกับ PI อานทำให้ระดับยา PI เพิ่มขึ้น

เช่นระดับบา indinavir และ saquinavir ลดลง – 25- 30 %

ดังนั้นในผู้ใหญ่ถ้าใช้ nevrapine ร่วมกับ indinavir

อาจเพิ่มขนาด indinavir 20 % แต่ถ้าใช้ร่วมกับ ritonavir หรือ

nelfinavir ใช้ในขนาดปกติ

ยา nevirapine ลดระดับ ketoconazole อย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน

และไม่ควรใช้รวมกันถ้าต้องใช่ร่วมกันควรใช้ยา fluconazole

แทน ketoconazole ยา rifampin ชักนำการสร้าเอ็นไซม์ CYP 3A4

เหมือน nevirapine และอาจลดระดับยา nevirapine

จึงไม่ควรใช้ร่วมกัน การชักนำเอนไซม์มีผลสูงสุด

เมื่อใช้ยาไปได้ประมาณ 2-4 สัปดาห์

ยา nevirapine ลดระดับและการจับกับโปรตีนของ methadone

และอาจทำให้ผู้ป่วยที่ใช้ methadone มีอาการถอนยา

ซึ่งแก้ได้ด้วยการให้ขนาดยา methadone

เพิ่มขึ้นมากกว่าวันละ150 มก.

แม้ยังไม่ทราบว่ายาปฎิกิริยาอย่างไรกับยาต้านอาการชัก เช่น

Phenobarbital , phenytoin carbamaxepine

และยารักษาอาการทางจิต แต่ควรติดตามใกล้ชิดและวัดระดับยาด้วย

ยา mevirapine ลด AUC ยา ethynyl estradiol 50 %

เมื่อใช้ยานี้ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย

ถึงแม้ยา nevirapine ทำให้ AUC ของ cla rithromycin ลดลง 30 %

แต่ active 14 -OH methaboite ของ clarithromycin เพิ่มขึ้นทำให้

ไม่ต้องเพิ่มขนดยา charithromycin

คำแนะนำพิเศษ

ยาสามารถรับประทานร่วมกับอาหาร

และอาจใช้ร่วมกับยา didanosine ควรเขย่ายาน้ำแขวนตะกอน

nevirapine ให้สม่ำเสมอก่อนใช้ยาเสมอ และเก็บยาที่อุณหภูมิห้อง

พิษต่อตับของยาอาจรุนแรงได้แก่ ตับอักเสบแบบ cholestatic

หรือ fulminant hepatic necrosis ตับวาย และอาจเสียชีวิต

ผู้ป่วยที่กำลังมีตับอักเสบห้ามใช้ยานี้

และห้ามลองยาอีกถ้าเคยมีตับอักเสบจากการใช้ nevirapine

ผู้ป่วยที่มีประวัติโรคไวรัสตับอักเสบ B หรือ C หรือระดับเอนไซม์

transmaminase ซีรั่มสูงมีความเสี่ยงต่อการเพิษต่อตับเพิ่มขึ้น

การใช้ยา nevirapie ควรติดตามใกล้ชิดและวัดระดับเอนไซม์ตับ

เอนไซม์ตับบ่อยๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์

หรือมากกว่า เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่แสดงอาการภายใน 12 สัปดาห์

และส่วนน้อยแสดงอาการหลัง 12 สัปดาห์


เขียนโดย สนธยา มณีรัตน์

คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกาได้รับรองยา

Norvir(R) (ritonavir) ของบริษัท Abbott Laboratories

ในรูป soft-gelatin capsules ซึ่งเป็น protease inhibitor

ที่มีข้อบ่งใช้ร่วมกับยา antiretroviral อื่นๆ

เพื่อรักษาการติดเชื้อเอดส์

Norvir soft-gelatin capsules ควรเก็บไว้ในที่เย็นอุณหภูมิ

ระหว่าง 36-46 ๐F จนกว่าจะจ่ายให้ผู้ป่วย

โดยแนะนำให้เก็บไว้ในตู้เย็น

แต่ไม่จำเป็นถ้าใช้ยาหมดภายใน 30 วัน

และเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 77 ๐F

Norvir ได้รับการรับรองให้ใช้วันละ 2 ครั้ง

และอาจกินพร้อมอาหารได้ นอกจากนั้น

Norvir มีข้อบ่งใช้ในผู้ใหญ่โดยใช้ร่วมกับ antiretroviral agents อื่นๆ

เพื่อรักษาการติดเชื้อเอดส์ นอกจากนั้น Norvir

รูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนยังได้รับการรับรอง

ให้ใช้ในเด็กอายุ 2-16 ปีด้วย

(บนพื้นฐานข้อมูลความปลอดภัยและเภสัชจลนพลศาสตร์)

Norvir อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยบางราย เช่น ผู้ป่วยโรคตับ,

ตับอักเสบหรือผู้ป่วยโรคเลือดไหลไม่หยุด (hemophilia)

โดยยาจำพวก protease inhibitors อาจทำให้มีไขมัน

สะสมในร่างกาย, ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น, ตับอ่อนอักเสบ

(บางรายมีไตรกลีเซอไรด์สูงร่วมด้วย) และแพ้ยา

(เล็กน้อย-รุนแรง)

อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อย เช่น อ่อนล้า, อาเจียน, ท้องร่วง,

เบื่ออาหาร, ปวดท้อง, การรับรสเสียไป,

มือ-เท้าหรือรอบริมฝีปากชาหรือรู้สึกซ่าๆ, ปวดศีรษะ และวิงเวียน

Norvir ไม่ควรใช้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาแก้แพ้ที่

ไม่ทำให้ง่วงบางตัว, ยาสงบระงับ-ยานอนหลับ,

ยาแก้หัวใจเต้นผิดปกติ หรือ ergot alkaloid preparations

ยา atazanavir มีข้อบ่งใช้ในโรคติดเชื้อ HIV-1

โดยให้ร่วมกับยาต้านไวรัสที่เหมาะสมตัวอื่น ๆ

การตัดสินให้ยาพิจารณาจาก ปริมาณ HIV RNA ในพลาสมา

และระดับ CD4 ขนาดยาที่แนะนำคือ 400 มิลลิกรัมวันละครั้ง

สามารถให้พร้อมอาหารได้ (ขนาดยาในผู้ใหญ่)

ถ้าต้องการให้ยา atazanavir ร่วมกับยา efavirenz หรือ tenofovir

จำเป็นจะต้องให้ยา ritonavir ขนาด 100 มิลลิกรัม

โดยลดขนาดยา atazanavir ลงเหลือ 300 มิลลิกรัม

ถ้าให้ร่วมกับ didanosine buffered formulation

จะต้องให้ยา atazanavir ก่อน 1 ชั่วโมง หรือหลัง 2 ชั่วโมง

ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน

เพราะเนื่องจากว่าจะมีความเสี่ยงของการเกิด kernicterus

(ภาวะที่บิลิรูบินในกระแสเลือดสูงและผ่าน

เข้าไปจับสมองทำให้เกิดความพิการของสมองอย่างถาวร)

เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี

ดังนั้น การใช้ยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรมีการดูแลอย่างใกล้ชิด

ข้อควรระวัง

ผู้ที่ได้รับยา atazanavir อาจมีระดับของบิลิรูบินโดยเฉพาะ

indirect bilirubin สูงขึ้นโดยไม่มีอาการแสดง อันเป็นผลจากการ

ยับยั้งเอนไซม์ UDP-glucuronosyl transferase

(เอนไซม์ที่มีความเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาควบคู่ระหว่าง

บิลิรูบินกับ glucuronic acid) อย่างไรก็ตาม

ผลที่เกิดขึ้นสามารถหายเป็นปกติได้ แต่ควรระมัดระวังในผู้ป่วย

ที่มีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ภายหลังการใช้ยา

มีรายงานว่ายานี้เพิ่มความเสี่ยงในการทำให้เลือดออก

รวมทั้งการเกิด spontaneous skin hematomas, hemarthrosis

ในผู้ป่วยโรคฮีโมฟิเลีย (hemophelia) ชนิดเอและบี

ที่ได้รับการรักษาด้วย PIs ดังนั้น ในบางรายอาจจะมีความจำเป็น

ที่ผู้ป่วยโรคดังกล่าวจะต้องได้รับการดูแลในช่วงการได้รับยา

หรืออาจจะต้องให้ factor VIII

มีรายงานการเกิดภาวะ lactic acidosis syndrome (LAS)

ในผู้ที่ได้รับยา แต่ยังไม่ทราบปัจจัยเสี่ยง

การเกิดการกระจายตัวใหม่ของไขมันเป็นลักษณะประจำของผู้ป่วย

ที่ได้รับ PIs ซึ่งยังไม่ทราบความสัมพันธ์ที่แน่ชัด

ระหว่างการได้รับยา PIs กับปรากฏการณ์ดังกล่าว

อาการไม่พึงประสงค์จากยา

ปวดศีรษะ มีไข้ ปวด อ่อนเพลีย ปวดหลัง คลื่นไส้ ดีซ่าน/ตาเหลือง

ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย ปวดข้อ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ เวียนศีรษะ

มีอาการของระบบประสาทส่วนปลาย ไอมากขึ้น มีผื่นขึ้น

ข้อห้ามใช้

ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่แพ้ยา หรือองค์ประกอบในยานี้

การได้รับยาเกินขนาด และการแก้พิษ

ข้อมูลที่เกี่ยวกับการได้รับยาเกินขนาดค่อนข้างจำกัด

แต่พบว่าการได้ยาในขนาด 1,200 มิลลิกรัมในคนปกติ

ไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ พบผู้ป่วยติดเชื้อที่ได้รับยาครั้งเดียว

ในขนาด 29.2 กรัม เกิด bifascicular block

และมี PR interval ที่ยาวขึ้น แต่อาการดังกล่าวสามารถหายไปได้เอง

การได้รับยาในขนาดสูงอาจทำให้เกิด

ภาวะบิลิรูบินไม่ควบคู่ในเลือดสูง (unconjugated bilirubin)

โดยไม่พบการเปลี่ยนแปลงของ liver function tests

การแก้พิษโดยทั่วไป สามารถทำให้อาเจียน หรือล้างท้องได้

ไม่มียาแก้พิษที่จำเพาะ

การล้างไต (dialysis) ไม่น่าจะให้ประโยชน์

เนื่องจากยาจับกับพลาสมาโปรตีนได้สูง

อันตรกิริยาระหว่างยา

เนื่องจากยา atazanavir แสดงฤทธิ์ยับยั้งสมรรถนะของ CYP3A

และ uridine glucuronosyl transferase 1A1

(เป็นเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยาควบจับยากับ glucuronic acid)

จึงเกิดอันตรกิริยากับยาที่ถูกเมตาบอลิสัมได้ด้วย CYP 3A เช่น

calcium channel blockers, ยากดภูมิคุ้มกัน

(immunosuppressants),

ยากลุ่ม statins, และ PDE5 inhibitors (เช่น ยา sildenafil เป็นต้น)

ยาที่ห้ามใช้ร่วมกับ atazanavir ได้แก่

1.Benzodiazepines; midazolam, triazolam

เพราะจะทำให้เกิดการหลับลึกมากจนเกิดอันตราย

และ/หรือมีการกดการหายใจ

2.Ergot alkaloids เพราะจะทำให้เกิดหลอดเลือดหดตัวอย่างรุนแรง

มีการขาดเลือดตามหัวใจ อวัยวะส่วนปลายได้

3.Neuroleptic drugs; pimozide เพราะจะทำให้เกิด

หัวใจเต้นผิด จังหวะอย่างรุนแรง

นอกจากนี้ การให้ยา atazanavir ร่วมกับยา rifampin

จะทำให้ ระดับยา atazanavir (รวมทั้ง PIs ชนิดอื่น ๆ )

ลดลงได้ประมาณร้อยละ 90 จนต่ำกว่าขนาดที่จะกดการเจริญ

ของไวรัสได้ และอาจจะเกิดการดื้อยาตามมาภายหลัง

การเก็บรักษา

แนะนำให้เก็บยาที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส

หรือเก็บที่อุณหภูมิระหว่าง 15-30 องศาเซลเซียส

สรุป

ยา atazanavir เป็นยายับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสตัวใหม่ที่มีฤทธิ์สูง

ในการกดการเจริญของไวรัส มีเภสัชจลนศาสตร์ที่เหมาะสม

ในการที่จะให้บริหารยาเพียงวันละครั้ง

และทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ

PIs ชนิดอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยานี้มีศักยภาพ

ในการทำให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้มาก

จึงควรระมัดระวังและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยก่อนเริ่มการใช้ยานี้
เอกสารอ้างอิง

1.Reyataz&reg; Product Information. Available at :
http://www.fda.gov/medwatch/safety/2004/MAR_PI/Reyataz_PI.pdf. Accessed December 25, 2004.

2.Clercq ED. HIV-chemotherapy and ?prophylaxis: new drugs, leads and approaches. Int J Biochem Cell Biol 2004; 36: 1800-22.

3.Squires K, Lazzarin A, Gatell JM, et al. Comparison of once-daily atazanavir with efavirenz, each in combination with fixed-dose zidovudine and lamivudine, as initial therapy for patients infected with HIV. J Acquir Immune Defic Syndr 2004; 36: 1011-9.

4.Robin W, Phanuphak P, Cahn P, et al. Lon-term efficacy and safety of atazanavir with stavudine and lamivudine in patients previously treated with nelfinavir or atazanavir. J Acquir Immune Defic Syndr 2004; 36: 684-92.


จากการวิเคราะห์องค์ประกอบพืช และสมุนไพร เหงือกปลาหมอ กฐิน มะพร้าว องุ่น มังคุด เบอรรี่ น้ำมันมะกอก และต้นคูน อาจมีส่วนช่วยต่ออาการของโรคเกี่ยวกับภูมิต้านทานได้มาก แต่ยังไม่ค่อยมีการวิจัยพืชเหล่านี้ในด้านถูมิคุ้มกันบกพร่องเท่าที่ควร
กลไกการสร้างภูมิต้านทานของร่างกายมนุษย์ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับ ตับ ไต ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลือง ต่อมใต้สมอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ฮอร์โมนเพศอย่างยิ่ง มีพืชหลายชนิดที่มีผลต่อการกระตุ้นตับ และไตได้พร้อมกันที่น่าศึกษา ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร มะระขี้นก กระถิน งาดำ มังคุด สะตอพืชตระกูลกระถินซึ่งจะมีไนโตรเจนสูง ซิลีเนี่ยมสูง เช่นเดียวกับถั่ว     โสม

ตามหลักศาสตร์ตะวันออก การแพทย์แผนโบราณเป็นศาสตร์นึงที่มีความลี้ลับสูงมาก
เป็นเหตุให้ในอินเดีย แพทย์จึงแยกเป็นวรรณะนึง ซึ่งไม่ใช่เรืองการกีดกันความรักเด็กนะครับ แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยองค์กร หรือ แฟมมิลี่ การแต่งงานของวรรณะแพทย์จะเปรียบเสมือนการที่สองครอบครัวแต่งงานกัน เพราะแฟมมิลี่ของแพทย์ ถ้ามีการแทรกซึมจากภายนอกจะทำให้อาชีพของทั้งครอบครัวพังทลายได้ สาเหตุสำคัญคือ หลักมายาทางการแพทย์ตะวันออกสมัยโบราณ จะเป็นการเริ่มต้นที่ต้องฝึกการรู้จักคุณสมบัติของพิษวิทยาของพืชต่างๆก่อน เมื่อสามารถควบคุมระดับการใช้พิษระดับอ่อนๆได้จึงจะมีคุณสมบัติการเป็นแพทย์ ถ้าเป็นแผนจีน จะเป็นการฝึกตามหลักจิตมารปลูกฝังธรรม ปรมาจารย์ตั๊กม้อ ที่ก่อตั้งวัดเส้าหลิน ถ่ายทอดการรักษาโรค และกังฟูของจีน ตั๊กม้อนี้ แปลว่า ปรมาจารย์มารพิษนะครับ พืชทุกชนิดจะมีการสร้างพิษทำลายตับแมลงเพื่อป้องกันแมลงมากินขึ้น เป็นองค์ประกอบของ กำมะถัน กับโปรแตสเซี่ยมไนเตรต ซึ่งขึ้นอยู่กับเอสโตรเจนในพืชด้วย ซึ่งจะมีธาตุโลหะต่างๆที่แมลงไม่ชอบด้วย แต่คุณสมบัติพิษอ่อนๆในพืช เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะกระตุ้นฮอร์โมนและ แอนติบอดี้ขึ้น จากรีเซพเตอร์ที่ตรวจจับอาการระคายเคือง แล้วหลังสารต้านพิษออกมาจากตับ และต่อมต่างๆ อย่างเช่นถ้ามีอาการนอนไม่หลับ สารแซนโทนิน จากเปลือกมังคุดที่เป็นพิษต่อตับ ซึ่งถ้าจะใช้ต้องควบคุมระดับให้อ่อนมากๆ จะไปกระตุ้น ให้ร่างกายผลิตเมลาโทนินได้ แต่ต้องมีสารอาหารประกอบ เช่นอาหารที่มีกลุ่มวิตามินบี 3ไนอะซีน วิตามินบี6 ซึ่งกระตุ้นโปรเจสเตอโรน

วิตามิน บี 1 (ไธอะมีน) มีความจำเป็นในการสร้างสารสื่อสัญญาณประสาท และมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบประสาท อาการรู้สึกสับสนเป็นอาการของการขาดวิตามิน บี1
วิตามิน บี 2 (ไรไบฟลาวิน) ป้องกันการเกิดสิว และเป็นปัจจัยสำคัญของการหายใจระดับเซลล์ ช่วยในการมองเห็น ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม และ เล็บ มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ต่าง ๆ
วิตามิน บี 3 (ไนอะซิน) เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาทางชีวเคมีมากกว่า 50 ปฏิกิริยา ช่วยในการรักษาอาการเครียดและซึมเศร้า ช่วยเสริมการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวดไมเกรน ผู้ที่รับประทานน้ำตาลทรายขาวมาก ๆ จำเป็นต้องได้รับวิตามิน บี 3 มากเป็นพิเศษ
วิตามิน บี 5 (แพนโทธีนิก แอซิด) เป็นสารที่พบอยู่ในเซลล์และมีความจำเป็นต่อปฏิกิริยาชีวเคมี ช่วยในการทำงานและการสร้างฮอร์โมนของต่อมหมวกไตในการบรรเทาอาการเครียด
วิตามิน บี 6 (ไพริดอกซิน) มีความจำเป็นต่อการทำงานของสมอง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ควบคุมสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย การย่อยอาหาร การดูดซึมของไขมันและโปรตีน การสร้างระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
วิตามิน บี 12 (ไซอะโนโคบาลามิน) มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเซลล์ต่าง ๆ ป้องกันการถูกทำลายของเส้นประสาท ช่วยในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท
โฟลิก แอซิด ทำงานร่วมกับวิตามิน บี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง บรรเทาอาการหมดแรง หงุดหงิดง่าย ปวดศรีษะ อาการหลงลืม บรรเทาอาการทางประสาท
โคลีน ช่วยในการสร้างสารอะเซทิลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อสัญญาณประสาทที่สำคัญในสมองที่ใช้ในการเก็บความทรงจำ
ไอโนซิทอล ช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีของไขมันทำให้ใช้ไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยในการเสริมอาหารให้แก่สมอง
ไบไอติน ช่วยในการสร้างพลังงาน การเจริญเติบโต และการสร้างกรดไขมันในร่างกาย
วิตามิน บี แม้จะพบมากในข้าว แต่ปัจจุบันข้าวที่เรารับประทานอยู่เป็นประจำมักเป็นข้าวที่ถูกขัด จนขาวไม่มีวิตามิน บี เหลืออยู่ ประกอบกับการรับประทานน้ำตาลทรายขาวเป็นประจำ จึงทำให้วิตามินบี ที่มีอยู่ในร่างกายถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในวัยที่ต้องใช้สมองมากเป็นพิเศษจึงควรเอาใจใส่ ในเรื่องสุขภาพควบคู่ไปกับการศึกษา การรับประทานข้าวกล้อง และน้ำตาลทรายที่ไม่ขัดสีจะช่วยเพิ่มวิตามินบีให้แก่ชีวิตประจำวัน https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080523182039AAF2eXx
ตัวอย่างเช่นขนหมามุ่ยเต็มไปด้วยสารเซโรโทนิน เป็นสิ่งที่รีเซพเตอร์ของผิวหนังกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ถ้ามีระดับต่ำๆจะกระตุ้นการหลังฮอร์โมนที่ช่วยให้นอนหลับฝัน แก้อาการนอนไม่หลับ หรือ เดทดรีมซึ่งเกิดจากการฮอร์โมนตกในวัย 35ปีขึ้นไปได้ แต่เมล็ดหมามุ่ย มีสารแอลโดปา L-Dopa ซึ่งกระตุ้นเทสโทสเตอโรน และโดพามีน ถ้าคนเป็นโรคจิตกินอาจจะกระตุ้นให้อาการรุนแรงเป็นหนักกว่าเดิมได้ แต่ถ้าควบคุมระดับต่ำๆได้ หรือ ผู้ที่จิตปรกติ น่าจะไม่เพียงกระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ยังบำรุงสมองด้วย แต่ข้อควรระวังการเป็นดาบสองคมในผู้ที่วัย 35 ปีขึ้นไปคือต้องควบคุมปริมาณให้ต่ำๆได้ ดังนั้น การรับประทานไวน์หมามุ่ยซึ่งบำรุงทางเพศอย่างมาก ควรทานวันละจอกเล็กๆ หรือ สองสามวันทานทีนึงจะเป็นผลดี และร่างกายขับส่วนเกินได้ดีกว่า  อาการเดทดรีมนี้เป็นได้มากในคนช่วงวัย 35ขึ้นไป ตามฮอร์โมนขาลงรอบ5ปีที่เริ่มตั้งแต่เบญจเพศ ถ้าคนไหนเป็นหนักๆจะเกิดอาการประสาทได้ง่ายมาก ยกเว้นคนที่ควบคุมสมาธิได้ หรือคนที่รู้หลักเติมสารอาหารช่วยหลับกลุ่มไนอาซีน วิตามินบีต่างๆ โฟลิค โคลีน หรืออย่างเช่นกัญชาที่บางประเทศถูกกฎหมาย ซึ่งวัยรุ่นควรระมัดระวังให้มาก เพราะกัญชามีฤิทธิ์ช่วยให้หลับได้ แต่ถ้าเป็นการสูบปริมาณสารจะไปเปิดวาวล์ฮอร์โมนให้ระบประสาทหลั่งอย่างรุนแรง มีผลให้้ระบบประสาทค้างเกิดอาการโรคจิตเมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนตกได้ การบริโภคกัญชาควรระดับต่ำๆเช่นการต้มกับอาหาร หรือผสมบุหรี่ในระดับไม่เกิน 5เปอร์เซนต์จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อระบบประสาท
เรื่องมายาศาสตร์การแพทย์แผนโบราณตะวันออกนี้ ผมมีประสบการณ์ตรงจากการรับประทาน ดอกกระดังงาจนสลบ ซึ่งคนที่ปลูกห้ามไม่ให้ผมรับประทาน ซึ่งมาเข้าใจเอาตอนที่มาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพร ในดอกกระดังงามีไนตรัส แต่การที่จะทำให้มีในตรัสสูงๆได้ น่าจะต้องผ่านการสกัดดอกเอามารดต้นเป็นเวลาหลายปี ในการฟีดแบ็คป้อนกลับสารลงที่โคนต้น หรืออาจจะมีการใช้กัญชาร่วมกับฝิ่น  ผู้ที่เริ่มศึกษาสมุนไพรใหม่ๆไม่ควรไปเก็บสมุนไพรจากต้นโดยที่คนดูแลไม่เก็บให้นะครับ ตอนเด็กๆผมเคยทุบเมล็ดมะกล่ำตาหนูทานเหมือนกัน  และล้วงคออ๊วกไม่ออก แต่พี่สาวผมพอรู้ก็ให้กินน้ำมันชนิดนึงตามลงไปจึงไม่เป็นอะไร
ส่วนการสูบบุหรี่ในวัยรุ่นนั้นส่วนใหญ่มีข้อเสีย ข้อดีมีเพียงกระตุ้นให้ร่างกายทนพิษได้มากขึ้น โดยเฉพาะแคดเมี่ยม แต่ต้องเลิกในวัยประมาณ 20ปี คือควรจะหัดเลิกก่อนที่จะฮอร์โมนตกจึงจะไม่เกิดผลกระทบเมือกน้ำมันดินตกค้างในปอด ชา และการควบคุมสมาธิมีส่วนช่วยในการเลิกบุหรี่ได้ บางคนหัดเลิกใหม่ๆก็ใช้กาแฟ

อะไรคือแซนโทน ? https://www.facebook.com/Siamnutra.Tik.Suriya/posts/527349100631135
แซนโทนเป็นชื่อของสารประกอบที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ และมีลักษณะคล้ายไวตามิน แท้ที่จริงแล้วแซนโทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลการทำงานของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ให้ทำงานปกติและเหมาะสม โครงสร้างทางเคมีของแซนโทนมีรูปร่างเหมือนแหวนเพชรสามวงเกี่ยวกันเป็นห่วงคล้ายรังผึ้ง และเราจะเรียกสารประกอบในธรรมชาติที่มีโครงสร้างโมเลกุลแบบเดียวกันนี้ว่า “แซนโทน” ทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถค้นพบสารประกอบตามธรรมชาติที่มีโครงสร้างโมเลกุลแบบนี้แล้วกว่า 200 ชนิด จึงสามารถสรุปได้ง่ายๆว่าในธรรมชาติมีสารประกอบแซนโทนอยู่ถึง 200 อนุพันธ์ย่อย และเนื่องจากแซนโทนในธรรมชาติมีอยู่หลากหลายอนุพันธ์ จึงอาจจะสามารถแบ่งสารประกอบแซนโทนออกได้ตามลักษณะการละลายในน้ำ นั่นคือ
Hydrolysable Xanthones หรือแซนโทนในกลุ่มที่สามารถละลายในน้ำได้ดี
Non- Hydrolysable Xanthones หรือแซนโทนในกลุ่มที่ไม่สามารถละลายในน้ำได้
สิ่งที่ทำให้แซนโทนมีความโดดเด่นหนือสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆที่พบในธรรมชาติ นั่นคือนอกจากแซนโทนจะสามารถทำหน้าที่ในการต้านอนุมูลอิสระได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แซนโทนยังออกฤทธิ์ที่มีผลคล้ายการทำงานของยาแผนปัจจุบัน นั่นคือ
ฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ โดยสารประกอบแซนโทนสามารถยับยั้งกระบวนการของการอักเสบของร่างกายด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ชื่อ ไซโคอ๊อกซิเจเนส 2 (Cyclooxgenase 2) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดการอักเสบขึ้นในร่างกาย ประโยชน์จากประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบของสารประกอบแซนโทนนั้น นอกจากจะช่วยลดอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยจากอาการอักเสบกล้ามเนื้อ หรือข้อต่อต่างๆของร่างกายแล้ว ผลจากการต้านการอักเสบนั้นยังช่วยลดสภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วย เนื่องเพราะในปัจจุบันวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้ค้นพบแล้ว แท้ที่จริงแล้วสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจในมนุษย์มาจากการอักเสบที่เกิดขึ้นในผนังหลอดเลือดต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งจะทำให้ผนังหลอดเลือดหนาขึ้นและขาดความยืดหยุ่น จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันชนิดไม่ดีเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
ฤทธิ์ในการลดอาการภูมิแพ้ โดยสารประกอบแซนโทนจะสามารถลดอาการแพ้ที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจได้ ด้วยการยับยั้งกระบวนการหลั่งสารฮีสตามีนของร่างกาย ที่เป็นสาเหตุหลักของอาการภูมิแพ้
ฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสที่อยู่นอกเซลล์ ทำให้ร่างกายมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ตัวในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะเป็นการลดภาระการทำงานของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เร็วของร่างกายได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลายชนิดที่ค้นพบว่าสารประกอบแซนโทนมีสรรพคุณในการต้านการเติบโตของเซลล์มะเร็ง, มีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิต, และมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด
9 สิ่งที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับแซนโทน (Xanthones)
จากงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารที่กระทำอย่างต่อเนื่องและยาวนาน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสารประกอบชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติและเรียกชื่อสารประกอบชนิดนี้ว่าแซนโทน และสิ่งที่ทำให้การค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญมากต่อความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหารในปัจจุบัน นั่นก็คือรายงานการวิจัยหลายชิ้นที่ถูกกระทำจากคณะวิจัยทั่วโลก ได้เปิดเผยถึงคุณสมบัติที่น่าสนใจหลายประการเกี่ยวกับสารประกอบแซนโทน และนี่คือข้อมูลที่คุณอาจไม่ทราบมาก่อน
1 ในโลกนี้มีแซนโทนมากถึง 200 ชนิดย่อยที่แตกต่างกันออกไป เราสามารถพบสารประกอบแซนโทนได้จากพืชผักผลไม้บางชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน และแม้ว่าในธรรมชาติจะมีสารประกอบแซนโทนที่มีความหลากหลาย แต่มีเพียงแซนโทนบางอนุพันธุ์เท่านั้นที่พบว่ามีประโยชน์ที่ชัดเจนต่อสุขภาพที่ดีในร่างกายมนุษย์
2 หนึ่งในอนุพันธุ์ย่อยของแซนโทนกว่า 200 ชนิด คือแซนโทนที่มีชื่อว่า Alpha Mangostin ซึ่งเป็นแซนโทนที่ได้รับการวิจัยค้นคว้าจากนักวิทยาศาสตร์หลายแขนงรวมกันมากที่สุด และมีรายงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ยืนยันว่าอัลฟ่าแมงโก้สะตีน เป็นสารประกอบตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติที่ดีต่อร่างกายของมนุษย์ในหลากหลายมิติ
3 สิ่งที่ทำให้แซนโทนได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดในโลก เนื่องมาจากแซนโทนมีความสามารถในการถูกร่างกายดูดซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถคงอยู่ในร่างกายทั้งในส่วนที่เป็นน้ำในเลือดที่เรียกกันว่าพลาสม่า และส่วนที่เป็นไขมันจากกระบวนการย่อยสารอาหารในระบบทางเดินอาหาร การที่แซนโทนสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ในหลากหลายมิตินี้เอง ที่ทำให้แซนโทนสามารถต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ในสถานะการณ์ที่หลากหลาย เช่นต้านอนุมูลอิสระที่ล่องลอยอยู่ในน้ำเลือด ภายในผนังหลอดเลือด และภายในอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ ที่มักมีข้อจำกัดในเรื่องการทำงานในร่างกายมนุษย์
4 อนุมูลอิสระในร่างกาย คือสาเหตุที่สำคัญของการเกิดโรคร้ายแรงที่ไม่ติดต่อในร่างกายมนุษย์ ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เชื่อว่าอนุมูลอิสระก่อให้เกิดการทำลายดีเอ็นเอ ทำลายเยื่อหุ้มเซลล์และอื่นๆ ในระยะสั้น ผลของการทำลายจะก่อให้เกิดการอักเสบเล็กๆขึ้นทั่วร่างกาย ทำให้เซลล์ของร่างกายเสื่อมอย่างรวดเร็ว อาจมีผลทำให้เซลล์ทำงานผิดปรกติ รวมไปถึงการแบ่งตัวอย่างผิดปรกติ เป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคต้อกระจก ฯลฯ ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้เราทราบว่า กระบวนการอักเสบเล็กๆที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ และโรคหัวใจก็เป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ ของประชากรทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย แซนโทนมีคุณสมบัติในการต้านกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในร่างกายมนุษย์ และแซนโทนมีประสิทธิภาพในการต้านการอักเสบสูงกว่ายาที่ใช้ในการต้านการอักเสบที่รู้จักกันดีเช่นพินิซิลิน ถึง 4 เท่า
5 งานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์หลายชิ้นยังชี้ให้เห็นว่าจากการทดลองในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ แซนโทนสามารถลดขนาดของเซลล์มะเร็งหลายชนิดอย่างได้ผล เช่นงานวิจัยจากคณะเภสัช มหาวิทยาลัยโทโฮกุ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ในปี 2004 ระบุว่าสารประกอบแซนโทนในกลุ่มอัลฟ่า แมงโกสทิน ให้ผลลัพท์ที่ดีที่สุดในการทำลายเซลล์มะเร็ง และยังมีงานวิจัยอีกเป็นจำนวนมากที่ระบุว่าสารประกอบแซนโทนมีคุณสมบัติในการต่อต้านการประสานงานกันระหว่างฮีสตามีนและตัวรับฮีสตามีน ที่เป็นสาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้ และการอักเสบช้ำบวม
6 ที่น่าทึ่งคือแซนโทนบางชนิด สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสที่อยู่นอกเซลล์ได้ เช่นงานวิจัยจากคณะเภสัช มหาวิทยาลัย แอนเวิรป์ ประเทศเบลเยี่ยม ในปี 1998 โดยทีมวิจัยพบว่าสารประกอบแซนโทนที่สกัดจากผลมังคุดสามารถยับยั้งกระบวนการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอดส์ได้ หรือจากงานวิจัยในปี 1997 จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันทางยาของสารประกอบแซนโทนจากเปลือกมังคุด และสามารถสรุปได้ว่าสารประกอบแซนโทนจากเปลือกมังคุดสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียในเซลล์เม็ดเลือดขาว อีกทั้งยังสามารถทำลายแบคทีเรียของเซลล์ภายในได้อีกด้วย
7 ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่าแซนโทนเป็นสารอาหารที่คุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านการแพทย์และในด้านการโภชนเภสัชศาสตร์อย่างหลากหลาย และสิ่งนี้นับเป็นของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
8 มังคุดนับว่าเป็นผลไม้เพียงชนิดเดียวในโลกที่มีสารประกอบแซนโทนรวมกันอยู่ในผลมากที่สุด กว่า 40 ชนิด รวมไปถึงแซนโทนในกลุ่มอัลฟ่าแมงโก้สะตีน ด้วย
9 ผลิตภัณฑ์ซุปเปอร์โฟร์แรคเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแซนโทนอย่างมากมาย โดยฉพาะแซนโทนในกลุ่มอัลฟ่าแมงโก้สะตีน พิสูจน์ได้จากค่าคะแนนความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่สูง และเป็นผลิตภัณฑ์ที่รับประกันความพึงพอใจ 100%
เราหวังว่าข้อมูลทั้งหมดจะช่วยให้ท่านวางแผนเพื่อการปกป้องสุขภาพของตัวท่านเองและคนที่ท่านรักได้ดียิ่งขึ้น เพราะการป้องกันที่ดีย่อมคุ้มค่ากว่าการรักษามาก หากท่านสนใจรับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น กรุณาติดต่อผู้ที่มอบข้อมูลนี้ให้กับท่านทันที

แต่แซนโทนินเป็นพิษต่อตับ ควรควบคุมปริมาณให้พอดี  หรือขวดนึงทานกัน 2 คน เนื่องจากน้ำมังคุดสกัด เปิดฝาแล้วอยู่ได้เพียง4-5วัน

สารที่สร้างภูมิต้านทานที่สำคัญ
เกลือแมงกานีส เป็นเกลือแร่ส่วนน้อย แต่มีความสำคัญต่อชีวิตมาก ร่างกายจะขาดไม่ได้จะพบมากที่สุดในโครงกระดูก ตับ ตับอ่อน หัวใจและต่อมพิทูอิทารี่ มีคุณสมบัติเป็นด่าง แมงกานีส ส่วนใหญ่จะสูญเสียไประหว่างกระบวนการปรุงอาหาร และส่วนเกินจะออกผ่านทางน้ำดีแล้วจะออกทางอุจจาระ

ประโยชน์ต่อร่างกาย
ควบคุมการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยร่างการในการใช้ ไบโอติน วิตามินบีและวิตามินซี เพื่อเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันให้เกิดผลมากขึ้น
ช่วยในการสังเคราะห์ กรดไขมัน และคอเลสเตอรอล
ช่วยในการสร้างเม็ดโลหิตแดง และกระดูกพร้อมทั้งรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และการสืบพันธุ์ให้ทำงานตามปกติและช่วยขับฮอร์โมนเพศด้วย
ควบคุมสุขภาพ และการทำงานของสมองระบบประสาท และระบบกล้ามเนื้อ ให้มีประสิทธิภาพใน การสั่งงาน และมีความสัมพันธ์กัน
ช่วยการทำงานของอินซูลิน เพราะอินซูลินจะทำงานได้ดีต้องอาศัย เกลือแมงกานีส
เป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการสังเคราะห์ทางเคมีของต่อมไทรอยด์ขับไทรอกซิน (Throxin) (ฮอร์โมนไทรอกประกอบด้วยไอโอดีน)
กระตุ้นให้ตับเก็บน้ำตาลในรูปของ Glycogen ที่ร่างกายจะนำออกมาใช้ในรูปของ กลูโคสเมื่อจำเป็น
ช่วยในการใช้โคลีน
มีความสำคัญในการผลิตน้ำนม และการสร้างยูเรียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัสสาวะ ขับส่วนเกิน
แหล่งที่พบ
อาหาร ทะเล หอยนางรม ตับสัตว์ ไข่แดง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์ ข้าวเจ้า แห้ว แครอท หัวปลี ถั่วลิสง เมล็ดอัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน มะพร้าว คะน้า กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กล้วย สับปะรด องุ่น มะกอก ส้ม เชอรี่ แอปเปิ้ล อะโวคาโด แอพริคอท และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น มะตูม มะขวิด กระจับ เป็นต้น อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งที่ดีของ แมงกานีส แต่ปริมาณที่มีอยู่อาจจะต่างกัน ขั้นอยู่กับปริมาณที่มีอยู่ในดิน

และอีกประการที่สำคัญมากคือ เกลือ โซเดียมคลอไรด์ คลอรีนที่อยู่ในรูปคลอไรด์ การแตกตัวจะเกิดขึ้นเมื่อมีประจุบวก แต่จะเกิดโซดาไฟ ก๊าซคลอรีน และไฮโดรเจน สำหรับผู้ที่ทำงานอยู่ในบริเวณที่ประจุไฟฟ้าแรงสูงโปรดระมัดระวังสุขภาพ
ประโยชน์ของสังกะสี(zinc)
ช่วยในการเสริมสร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย
เป็นส่วนสำคัญต่อการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน
สังกะสีมีความจำเป็นต่อการสร้าง DNA
ช่วยในการสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
ช่วยในการทำงานของสมอง ช่วยเพิ่มการตื่นตัวทางจิต
สังกะสีทำงานร่วมกับเอนไซม์แลคเตตและมาเลตดีไฮโดรจีเนส ซึ่งช่วยทำให้ร่างกายนำใช้ในขบวนการสร้างพลังงาน
สังกะสีทำงานร่วมกับเอนไซม์อัลคาไลน์ฟอสฟาเตส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟัน
ช่วยในการรักษาสิว บรรเทาอาการอักเสบของสิว ด้วยการไปรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง ช่วยควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันของไขมัน
ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย และยังช่วยป้องกันและรักษาการเป็นหมันด้วย
ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้เป็นปกติ และเป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์
ช่วยป้องกันและรักษาอาการผมหลุดร่วง
ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหารและมะเร็งหลอดลม
ช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากและมะเร็งต่อมลูกหมาก
ช่วยลดการสะสมตัวของคอเลสเตอรอล
ช่วยลดระยะเวลาการเจ็บป่วยและบรรเทาอาการของโรคหวัด
ช่วยคงสภาพการรับรู้รส กลิ่น และสายตา
ช่วยในการรักษาผู้ป่วยทางจิต หรือโรคจิตเภท
ช่วยรักษาภาวะการมีบุตรยาก
ช่วยกำจัดจุดขาวบนเล็บมือ
ช่วยเร่งให้แผลทั้งภายในและภายนอกหายเร็วยิ่งขึ้น
ช่วยลดอาการอักเสบและรักษาโรครูมาตอยด์อาไทรลิส
ช่วยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อตามร่างกาย
ช่วยควบคุมสมดุลกรดด่างในร่างกาย
สังกะสีเป็นส่วนหนึ่งของเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส ซึ่งทำหน้าที่ในการกำจัดแอลกอฮอล์ ซึ่งควรใช้ส้มตำเป็นตัวเร่งที่สำคัญกว่าด้วย

และมีผลต่อภูมิต้านทานในระดับที่สูงมาก สังกะสีเขียวธรรมชาติในระดับเบสที่ปลอดภัยมีมากในฝักกระถิน แต่ไม่ควรรับประทานทีละมากเกินไป เพราะมีธาตุตะกั่วอยู่ที่ผิว แต่ถ้าปลูกในพื้นที่ดินร่วนปนทราย และควบคุมการเจริญเติบโตด้วยปูนขาว จะมีความปลอดภัยที่สูงมากขึ้นด้วย กะถินมีซีลีเนียม และสังกะสี เป็นประโยชน์มากในโรคที่เกี่ยวกับภูมิต้านทาน ที่เกิดจากการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป แต่ถ้าทานน้อนๆ นานๆครั้งก็กระตุ้นภูมิต้านทานได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น